มทร.ธัญบุรี เปิดศูนย์พักพิง จ.ปราจีนบุรี รับผู้อพยพชายแดน พร้อมสนับสนุนน้ำดื่มและสวัสดิภาพ

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ขยายผลความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดน จัดเตรียมพื้นที่พักพิงชั่วคราวที่มีความปลอดภัยสูง ประสานท้องถิ่นดูแลด้านสวัสดิภาพ และส่งมอบน้ำดื่มสะอาดเพื่อบรรเทาทุกข์เบื้องต้น เน้นย้ำให้ประชาชนประเมินสถานการณ์ และยึดข้อมูลจากทางราชการเป็นหลัก
.
โดย รศ.ดร.สมหมาย ผิวสอาด อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) เปิดเผยว่า จากปัญหาความไม่สงบตามแนวชายแดนอำเภออรัญประเทศ มหาวิทยาลัยได้พิจารณาจัดสรรพื้นที่ที่มีความพร้อมและปลอดภัย เพื่อจัดตั้งเป็นศูนย์พักพิงชั่วคราวในการช่วยเหลือประชาชนที่ต้องอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยง ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวมีศักยภาพในการรองรับประชาชนได้มากกว่า 300 คน ซึ่งการดำเนินงานครั้งนี้ถือเป็นภารกิจเร่งด่วนที่มหาวิทยาลัยมุ่งหวังจะใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อสร้างความปลอดภัยและความอุ่นใจให้แก่พี่น้องประชาชนจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย อีกทั้งยังเป็นการทำงานภายใต้ความร่วมมือกับทางจังหวัดปราจีนบุรี เพื่อบูรณาการความช่วยเหลือให้เข้าถึงประชาชนอย่างรวดเร็วและเป็นระบบที่สุด
.
ด้าน อาจารย์เรวัต ซ่อมสุข รองอธิการบดี มทร.ธัญบุรี ให้ข้อมูลว่า ขณะนี้เริ่มมีประชาชนบางส่วนเดินทางเข้าพักในพื้นที่ปลอดภัยที่มหาวิทยาลัยจัดเตรียมไว้แล้วกว่า 20 คน โดยมีการบูรณาการความร่วมมือกับองค์การบริหารส่วนตำบลบ่อทอง เพื่อจัดส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาบริหารจัดการด้านความเป็นอยู่และสุขอนามัยให้เป็นไปตามมาตรฐาน นอกจากนี้มหาวิทยาลัยยังได้สนับสนุนน้ำดื่มสะอาดตราราชมงคลธัญบุรีจำนวนกว่า 600 ขวด เพื่อแจกจ่ายให้แก่ผู้ประสบภัยและอาสาสมัคร โดยจะมีการประเมินสถานการณ์วันต่อวันเพื่อพิจารณาความช่วยเหลือในลำดับถัดไป
.
สำหรับหน่วยงานหรือผู้ที่มีความประสงค์จะร่วมบริจาคสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นหรือน้ำดื่มเพิ่มเติมเพื่อสมทบความช่วยเหลือ สามารถติดต่อประสานงานเพื่อสอบถามรายละเอียดข้อมูลการบริจาคและการเข้าพื้นที่ได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 2549 3195 เพื่อความสะดวกและความปลอดภัยในการส่งมอบความช่วยเหลือ
…………………………………………………………………………………………….
มีความสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ดังนี้
SDG 11 (เป้าหมายย่อย 11.5) ในการปกป้องกลุ่มเปราะบางจากวิกฤตการณ์
SDG 16 (เป้าหมายย่อย 16.1) ที่มุ่งสร้างความปลอดภัยและลดความรุนแรงในพื้นที่ อีกทั้งยังสะท้อนถึงการจัดการด้านสุขาภิบาลตาม
SDG 6 และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับภาคส่วนท้องถิ่นตามแนวทาง
SDG 17 เพื่อบรรเทาทุกข์แก่ประชาชนอย่างยั่งยืน
.
รายงานโดย อาทิตยา ปักกะทานัง