English Around You l คำศัพท์บอกรสชาติในภาษาอังกฤษ

English Around You l คำศัพท์บอกรสชาติในภาษาอังกฤษ
– การนัดหมายด้วยการเชิญชวน
.
โดย อ.ชนฎนาถ จินศรี
และ อ.พุทธนาถ สวัสดิ์โยธิน
.
ออกอากาศ 14 มิถุนายน 2566
ติดตามรับฟังได้ทาง #RmuttRadio #Englisharoundyou #ภาษาอังกฤษ #สนทนาภาษาอังกฤษ #วิทยุราชมงคลธัญบุรี #แกรมม่า #สำนวนอังกฤษ
………………………………………………
คำศัพท์บอกรสชาติในภาษาอังกฤษ
sweet (สวีท) หวาน
Ex. This cake is too sweet.
(เค้กนี้รสหวานเกินไป)

Sour (เซาเออ) เปรี้ยว
Ex. The vinegar tastes sour.
(น้ำส้มสายชูมีรสเปรี้ยว)

Spicy (สไปซี) เผ็ด
Ex. The curry is very spicy.
(แกงรสเผ็ดมาก)

Hot (ฮอท) เผ็ดร้อน
Ex. I love this hot sauce.
(ฉันชอบซอสรสชาติเผ็ดร้อนนี้)

Salty (ซอลที) เค็ม
Ex. These chips are so salty!

(มันฝรั่งทอดนี่เค็มมาก)

Bland (แบลนด์) จืด
Ex. She thinks this soup is bland.
(เธอคิดว่าซุปนี้จืด)

Greasy (กริซี) มัน เลี่ยน
Ex. This Chinese food is greasy.
(อาหารจีนนี้มันมาก)
 
ทำไมรู้” ไม่ได้ใช้ ‘Why’
How ในการถาม “ทำไมรู้”
Ex. How do you know her name?
(ทำไมคุณรู้ชื่อหล่อน)
Ex. How do you know him?
(ทำไมคุณรู้จักเขา)

ความแตกต่างระหว่าง Why กับ How ในการถามว่า “ทำไม”
– How เป็นการถามว่า ทำไม เพื่อให้รู้ถึงวิธีการ ทฤษฎี หรือรายละเอียดว่าอย่างไร
ดังนั้นจึงใช้ “ทำไมรู้” จึงใช้ How do you know? ถามเพื่อให้รู้รายละเอียด เช่น
How do you know her name?
(ทำไมถึงรู้ชื่อของเธอ / รู้ชื่อเธอได้อย่างไร)
How do you know him?
(ทำไมรู้จักเขา / รู้จักเขาได้อย่างไร)
How did you know it was my birthday?

(ทำไมถึงรู้วันเกิดฉันล่ะ / รู้วันเกิดฉันได้อย่างไร)

– Why เป็นการถามว่า ทำไม เพื่อต้องการรู้เหตุผล เช่น

A: Why do you love me? (ทำไมคุณถึงรักฉัน)
B: Because you’re you. (เพราะคุณคือคุณไงล่ะ)

จำให้แม่น : การถามว่าทำไมรู้ เราจะไม่ใช้ Why do you know? แต่เราจะใช้ How do you know? หรือ How did you
know?
 
What's in it for me?
 ใช้ถามคู่สนทนาเวลาที่เราอยากรู้ว่า ในการต่อรองเจรจากันนั้น เราจะได้ผลประโยชน์อะไรจากการตกลงครั้งนี้บ้าง
หรือบางทีผู้ถามอาจจะกำลังขอความช่วยเหลืออะไรบางอย่าง แล้วคนฟังนั้น อยากจะทราบว่า
ถ้าฉันให้ความช่วยเหลือเธอไปแล้ว ฉันจะได้อะไรบ้างไหม เช่น ได้รับอะไรตอบแทนมา หรืออื่น ๆ
ประโยคนี้บางครั้งก็มีคนใช้คำย่อว่า WIIFM ได้เช่นกัน 
และสามารถเปลี่ยนคำสรรพนามเป็นคำอื่น ๆ ได้ เช่น  What’s in it for you? What’s in it for us?
Example1
A: Let’s go for a walk tomorrow’s morning! 
    (ไปเดินออกกำลังกายพรุ่งนี้เช้ากัน)
B: What’s in it for me? 
     (แล้วฉันจะได้อะไรละ?)
A: It’s good for your health, especially during rainy season. 
     (มันดีต่อสุขภาพนะ โดยเฉพาะช่วงฤดูฝนแบบนี้)
 

เดี๋ยวเราจะให้ท่านผู้ฟังพักฟังเพลงเพราะ ๆ ต่อ จากทางสถานี แล้วกลับมาพบกับพวกเราในช่วงสุดท้ายของรายการ English
around You ติดตามฟังกันให้ได้นะคะ

Ride
คำว่า Ride มีความหมายในตัวมันเองว่า ขี่ ซึ่งความหมายแรก เราจะใช้ Ride ในรูปกริยาที่เกี่ยวกับการขี่ยานพาหนะและสัตว์
ได้แก่ ขี่ม้า ขี่มอเตอร์ไซค์ และขี่จักรยาน ดังรูปประโยค เช่น
She rides a bicycle to school.
(เธอขี่จักรยานไปโรงเรียน)
I had never ridden a horse before.
(ฉันไม่เคยขี่ม้ามาก่อนเลย)
He love motorcycle and rides every day.
(เขารักมอเตอร์ไซค์และขี่มอเตอร์ไซค์ทุกวัน)
สำหรับ Ride ในความหมายที่สองนั้น มีความหมายว่า การเดินทางด้วยยานพาหนะที่เราไม่ได้เป็นคนขับเอง
อย่างการโดยสารรถสาธารณะต่าง ๆ หรือรถที่มีคนขับให้ค่ะ ตัวอย่างประโยค เช่น
My mom gave us a ride to the party.
(แม่ขับรถไปส่งพวกเราเพื่อไปงานปาร์ตี้)

Drive
มาดูการใช้ Drive กันบ้าง คำว่า Drive คำนี้ ในความหมายแรก หมายถึงการขับขี่ให้มีการเคลื่อนที่ไปของยานพาหนะ
ซึ่งก็หมายถึง รถยนต์ รถไฟ และรถทุกชนิดที่ใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนได้  ตัวอย่างประโยค เช่น
The elderly often drive carefully.
(ผู้สูงอายุมักจะขับรถอย่างระมัดระวัง)
My father drives to work every day.
(พ่อของฉันขับรถไปทำงานทุกวัน)
  
 
สำหรับความหมายที่สองของ Drive นั้น เราจะใช้ในรูปของคำนาม ซึ่งหมายถึง
การเดินทางโดยรถยนต์โดยมีคนขับให้หรืออาจจะขับเองก็ได้ เช่น

It’s a long drive to Chiang Mai.
(การไปเชียงใหม่ ถือเป็นการเดินทางที่ยาวนาน)
Shall we go for a drive on Saturday?
(วันเสาร์นี้เราไปนั่งรถเล่นกันไหม)

การนัดหมายด้วยการเชิญชวน
โดยใช้ Can we…, Do you want to…, Let’s… 
         – Can we eat out tonight?
           (คืนนี้เราไปทานข้าวนอกบ้านกันไหม?)
         – Do you want to go to the movies?
          (คุณอยากไปดูหนังด้วยกันไหม?)
         – Let’s take the bus.
          (ไปขึ้นรถประจำทางกันเถอะ)
 
ขยายความหรือบอกรายละเอียดการนัดหมายเพิ่มเติม ด้วย I’ll… 
         – I’ll bring the laptop.
           (ฉันจะเป็นคนเอาโน๊ตบุ๊คไปเอง)
         – I’ll call you before leaving home.
           (ฉันจะโทรหาคุณก่อนฉันออกจากบ้าน)
         – I’ll wait outside the restaurant.
           (ฉันจะรอที่หน้าร้านอาหาร)
 
ถามคู่สนทนาถึงสถานที่นัดหมายได้ด้วย Where…? 

         – Where shall we meet?
         – Where would you like to meet?
           (เราจะเจอกันที่ไหนดี?)
         – Where shall we go to eat?
         (เราจะไปทานข้าวที่ไหนกันดี?)
         – Where would you like to spend the evening?
         (เย็นนี้ คุณอยากไปไหน?)
         – Where would you like to go on holiday?
         (คุณอยากไปไหนในวันหยุดนี้)
 
ถามถึงเวลานัดหมายได้ด้วย When…? หรือ What time…?
         – What time does the meeting start?
           (การประชุมจะเริ่มกี่โมงเหรอคะ?)
         – When would you like to meet for dinner?
           (คุณอยากจะไปทานอาหารค่ำตอนกี่โมง)
         – When shall we meet?
           (เราจะเจอกันตอนกี่โมงดี?)
ถามความเห็นของคู่สนทนาเกี่ยวกับการนัดหมายได้ด้วยการใช้ Is…okay?
         – Is Wednesday okay?
           (คุณสะดวกไหมในวันพุธ?)
         – Is it okay to bring my friend along?
           (คุณสะดวกไหมถ้าฉันพาเพื่อนของฉันไปด้วย)

         – Is it okay to park here?
           (ฉันสามารถจอดรถที่นี่ได้ไหม?)
 
เสนอไอเดียหรือเสนอทางเลือกสำหรับการนัดหมายด้วยการใช้ Is it better to…?
         – Is it better to arrive early?
           (เราไปให้ถึงที่นัดหมายก่อนเวลาดีไหม?)
         – Is it better to book a table early?
           (เรารีบจองโต๊ะกันดีกว่าไหม?)
        
        

ขอขอบคุณข้อมูลดีดี https://www.trueplookpanya.com